Universal Philosophy : Analysis

ปรัชญาสากล : วิเคราะห์และวิจารณ์ (The Universal Philosophy : Analysis and Criticism)

นำบทความเรื่องปรัญาที่ยากๆ มาสรุปใหม่ให้เข้าใจง่ายๆ ตามนี้

ปรัชญาสากล: แก่นความคิดที่หล่อหลอมโลกตะวันออกและตะวันตก

บทความ “ปรัชญาสากล: วิเคราะห์และวิจารณ์” โดย พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตตโม ได้สำรวจแนวคิดพื้นฐานของปรัชญาตะวันออกและตะวันตก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสังคมไทยในการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม เหตุผล และการตระหนักรู้คุณค่าของสรรพสิ่งรอบตัว

1. ความเป็นมาและอิทธิพลของปรัชญา

ปรัชญาเป็นบ่อเกิดของทุกสาขาวิชา โดยเป็นแนวคิดเบื้องต้นที่ช่วยให้ศาสตร์ต่าง ๆ เช่น สังคมศาสตร์ จิตวิทยา มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ มีความสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ การศึกษาปรัชญาจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาสาระสำคัญและความแตกต่างระหว่างปรัชญาตะวันออกและตะวันตก ซึ่งจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม

2. ปรัชญาตะวันออก: มิติแห่งจิตวิญญาณและการปฏิบัติ

ปรัชญาตะวันออกส่วนใหญ่หมายถึงปรัชญาอินเดียและจีน ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่ ปรัชญาเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ลี้ลับ และเป็นปรัชญาสูงสุด

2.1 ปรัชญาอินเดีย: มีมาตั้งแต่ 3,000-4,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีรากฐานจากคัมภีร์พระเวท แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่:

  • กลุ่มอาสติกะ (Orthodox): กลุ่มที่เชื่อและยอมรับคัมภีร์พระเวท มี 6 ระบบ ได้แก่ นยายะ, ไวเศษิกะ, สางขยะ, โยคะ, มีมางสา, และเวทานตะ
  • กลุ่มนาสติกะ (Heterodox): กลุ่มที่ไม่ยอมรับคัมภีร์พระเวท มี 3 ระบบ ได้แก่ พุทธศาสนา, เชน, และจารวาก แม้พุทธปรัชญาจะไม่เชื่อถือพระเวท แต่ก็ไม่ได้ตำหนิ เพียงแต่เน้นให้พิจารณาด้วยปัญญาและเหตุผล

ปรัชญาอินเดียในยุคต่างๆ: นักปราชญ์อย่าง ศ.ดร. ราธกฤษณัน และ นายโฮเรส เอ. โรส แบ่งยุคปรัชญาอินเดียเป็น 3 ยุค คือ ยุคพระเวท, ยุคมหากาพย์, และยุคระบบปรัชญาทั้ง 9

  • ปรัชญาอุปนิษัท: เน้นแนวคิดเอกนิยมฝ่ายจิตนิยม (Idealistic Monism) ที่เชื่อว่าความจริงแท้คือ “พรหม” การเวียนว่ายตายเกิดเป็นเพราะอาตมันส่วนบุคคลยังไม่สามารถรวมกับปรมาตมันได้ และมนุษย์เป็นทายาทของกรรม
  • ปรัชญาภควัทคีตา: สอนการบำเพ็ญเพียรเพื่อความรู้เท่าทันจิตอาตมัน มีหลักสำคัญ 3 ประการ คือ ความรู้ (เน้นหยั่งรู้ภายใน), การปฏิบัติหน้าที่ (ทำเพื่อหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ), และความภักดี (มอบกายใจให้กับพระผู้เป็นเจ้า)
  • ปรัชญานยายะ: เน้นการค้นหาความจริงด้วยการคิดหาเหตุผล แบ่งความรู้เป็น 2 ระดับ คือ โลกิยะ (ความรู้สามัญ) และอโลกิยะ (ความรู้พิเศษ) มีหลักการค้นหาความจริง 4 ประเภท คือ ศัพทะ (การศึกษา), ประจักษ์ (ประสบการณ์ตรง), อุปมาน (การเปรียบเทียบ), และอนุมาน (การอนุมานด้วยเหตุผล)
  • ปรัชญาไวเศษิกะ: ศึกษาเรื่องส่วนประกอบย่อยของรูปธรรม (ทระวยะ), คุณสมบัติ (คุณะ), การเคลื่อนไหว (กรรม), ลักษณะที่เสมอกัน (สมานยะ), ลักษณะเฉพาะตัว (ไวเศษะ), ความสัมพันธ์ (สมวายะ), และความไม่ใช่ตัวตน (อภาวะ)
  • ปรัชญาสางขยะ: เชื่อในทฤษฎีปัจจยาการ (Theory of Causation) ได้แก่ “สัตการยวาท” (ผลมีอยู่ในเหตุ) และ “อสัตการยวาท” (ผลเป็นสิ่งใหม่ไม่ได้อยู่ในเหตุ) โดยมี “ประกฤติ” เป็นมูลฐานของสรรพสิ่ง
  • ปรัชญาโยคะ: เน้นการฝึกจิตและการปฏิบัติเพื่อการควบคุมตนเอง
  • ปรัชญามีมางสา: เชื่อว่าโลกเป็นของถาวร วิญญาณมีอยู่จริงและไม่สิ้นสูญ ซึ่งส่งผลต่อการทำความดีความชั่ว
  • ปรัชญาเวทานตะ: เน้นที่ “พรหม” เป็นความแท้จริงสูงสุด และอาตมันกับพรหมเป็นสิ่งเดียวกัน การเข้าถึงต้องอาศัยการเตรียมตัว 4 อย่าง และกระบวนการศึกษาจากครูผู้รู้แจ้ง
  • ปรัชญาจารวาก: เป็นปรัชญาสสารนิยม เชื่อว่าวัตถุเท่านั้นที่เที่ยงแท้ ปฏิเสธสวรรค์ พระเจ้า วิญญาณ และผลกรรม ความรู้เกิดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัสเท่านั้น
  • ปรัชญาเชน: เน้นจริยปรัชญา (อนุพรต 5: อหิงสา, สัตยะ, อสเตยยะ, พรหมจริยะ, อปริคคหะ) และญาณวิทยา (ความรู้โดยตรงและทางอ้อม) มีเป้าหมายสูงสุดคือ “โมกษะ” ด้วยการดำเนินตามหลักติรัตนะ
  • ปรัชญาพุทธศาสนา: เป็นปรัชญาสัจนิยมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มีลักษณะเป็นคำสอนปฏิรูป ปฏิวัติ และตั้งขึ้นใหม่ เน้นการสอนจากง่ายไปยาก ด้วยประสบการณ์ตรง มีเหตุผล และเป็นประโยชน์ต่อชีวิต คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน และผู้สอนควรเป็นแบบอย่างที่ดี วิธีสอนมีทั้งแบบสนทนา บรรยาย ตอบปัญหา และวางกฎ ญาณวิทยาประกอบด้วยสุตมยปัญญา (ฟัง), จินตามยปัญญา (คิด), และภาวนามยปัญญา (ฝึกอบรม) จริยศาสตร์มี 3 ระดับ: ขั้นต้น (เบญจศีลเบญจธรรม), ชั้นกลาง (กุศลกรรมบถ 10), และขั้นสูง (มรรค 8) อภิปรัชญาคือ “นิพพาน” ซึ่งเป็นสภาวะที่แท้จริงที่สุด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือดับสูญ

ลักษณะทั่วไปของปรัชญาอินเดีย: รศ.ดร. สุนทร ณ รังษี สรุปว่าปรัชญาอินเดียทุกระบบ (ยกเว้นจารวาก) มีลักษณะร่วมกัน 7 ประการ:

  1. เป็นปรัชญาชีวิตที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
  2. เกิดขึ้นจากความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อความทุกข์ในชีวิต
  3. เชื่อในกฎแห่งกรรม (กฎแห่งเหตุและผล, กฎแห่งศีลธรรม)
  4. มองว่าอวิชชาเป็นสาเหตุแห่งการติดข้องและการเวียนว่ายตายเกิด
  5. การบำเพ็ญสมาธิและวิปัสสนาคือนำไปสู่ความหลุดพ้น
  6. การควบคุมตนเองหรือจิตใจเป็นการขจัดกิเลส
  7. เชื่อว่าความหลุดพ้นจากทุกข์ (โมกษะ) เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และบรรลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติอย่างเข้มงวด

2.2 ปรัชญาจีน:

  • ปรัชญาเล่าจื้อ: เน้นอภิปรัชญา โดย “เต๋า” เป็นสิ่งที่เป็นเบื้องต้นของสิ่งทั้งปวง การเข้าถึงเต๋าทำให้มีอายุยืนยาวและรู้ทุกสิ่ง
  • ปรัชญาขงจื้อ: เน้นจริยศาสตร์ (หลักความเมตตา, ความชอบธรรม, ความเหมาะสม, ความรอบรู้, ความน่าเชื่อถือ) และการเมือง (ประชาชนมีอาหารพอ, มีกองทัพพอ, มีความเชื่อถือในผู้ปกครอง)
  • ปรัชญาพุทธศาสนามหายาน: แบ่งเป็นมาธยามิกะ (ศูนยตาเป็นความจริง) และโยคาจาร (จิตหรือวิญญาณเป็นสิ่งแท้จริง) เน้นจริยศาสตร์ที่ต้องบำเพ็ญบารมี 6 (ทาน, ศีล, วิริยะ, ขันติ, สมาธิ, ปัญญา), อัปปมัญญาภาวนา 4 (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา), และมหาปณิธาน 4 ญาณวิทยาเกิดจากประสาทสัมผัส, ความนึกคิด, การฝึกฝน, และพยานหลักฐาน

3. ปรัชญาตะวันตก: การแสวงหาความจริงด้วยเหตุผล

ปรัชญาตะวันตกเริ่มต้นในกรีกประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล โดยเริ่มจากการคิดค้นหาความจริงของโลกภายนอก แล้วจึงเข้าสู่จิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ นักวิชาการหลายท่านจัดแบ่งปรัชญาตะวันตกตามบุคคล เนื้อหา หรือช่วงเวลา

3.1 ยุคโบราณ:

  • โสเครตีส (Socrates): สนใจญาณวิทยา (ทฤษฎีความรู้) และจริยศาสตร์ เชื่อว่าความรู้เป็นคุณธรรม และมุ่งสร้างวิธีการที่ถูกต้องในการสร้างความรู้
  • เพลโต้ (Plato): นักปรัชญาจิตนิยม แบ่งโลกเป็น 2 ชนิด คือ โลกที่ปรากฏทางประสาทสัมผัสกับโลกในอุดมคติ (โลกแห่งแบบ) แบ่งวิญญาณเป็น 3 ส่วน และเชื่อว่าวิญญาณเป็นอมตะ จำแนกความรู้เป็น 4 ประเภท ตั้งแต่ความรู้ที่มีเหตุผล (สูงสุด) จนถึงความรู้จากการเดา (ต่ำสุด)
  • อริสโตเติล (Aristotle): นักปรัชญาสัจนิยม มองเนื้อสารเป็นรูปธรรมและวัตถุแต่ละอย่างเป็นเนื้อสารที่แท้จริง สร้างตรรกวิทยาที่สมบูรณ์เป็นคนแรก จริยศาสตร์เน้นความสุขที่เกิดจากคุณธรรมที่อยู่บนทางสายกลาง

3.2 ยุคกลาง:

  • เซนต์ออกัสติน (St. Augustine): เน้นเทววิทยาและความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและวิญญาณเป็นสำคัญ เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าสร้างสรรค์ทุกสิ่ง จุดประสงค์สูงสุดของมนุษย์คือการเข้าถึงอุดมการณ์ทางศาสนาและการเห็นพระเจ้า
  • เซนต์โธมัส อาควินัส (St. Thomas Aquinas): อธิบายเหตุผลของจักรวาลในฐานะที่พระเจ้าเปิดเผย จริยศาสตร์เห็นว่าความดีกับความงามเป็นอันเดียวกัน ญาณวิทยาเชื่อว่าความรู้จริงเกิดจากความคิดอย่างลึกซึ้งโดยอาศัยผัสสะเป็นพื้นฐาน

3.3 ยุคใหม่:

  • เรอเน เดส์คาร์ตส์ (Rene Descartes): นักเหตุผลนิยมชาวฝรั่งเศส เชื่อว่าความรู้เกิดจากการคิดหาเหตุผลและความสงสัยเป็นมูลฐาน ความสงสัยนำไปสู่ความจริง
  • จอห์น ล็อค (John Locke): นักปรัชญาประสบการณ์นิยมชาวอังกฤษ เชื่อว่ามโนภาพเกิดจากวัตถุภายนอกกระทบอวัยวะภายใน แต่ความรู้บางส่วนก็เกิดจากจิตใจตนเอง
  • อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant): เริ่มปรัชญาจากจุดที่ว่าโลกแห่งความจริงอยู่นอกตัวเรา ไม่สามารถรู้ได้ด้วยความคิดโดยตรง
  • ยอร์จ วิลเฮล์ม เฮเกล (Georg Wilhelm Hegel): กล่าวว่าตัวตนสมบูรณ์และความแท้จริงอันจำกัดเป็นการแสดงตัวของตัวตนที่ครอบงำสรรพสิ่ง เชื่อว่าความจริงย่อมชอบด้วยเหตุผล และรู้ได้ด้วยตรรกวิทยา
  • อาเธอร์ โชเปนฮาวเออร์ (Schopenhauer): เชื่อว่าความแท้จริงคือเจตจำนง ผู้มีเจตจำนงแน่วแน่และควบคุมจิตใจได้จะพบความว่างเปล่า ปราศจากทุกข์ ซึ่งเป็นสภาพเดียวกับนิพพานในพุทธศาสนา

4. อิทธิพลของปรัชญาต่อสังคมไทย

4.1 อิทธิพลของปรัชญาตะวันออก (อินเดีย) ต่อสังคมไทย: ส่วนใหญ่มาจากพุทธศาสนาและพราหมณ์

  • อมฤตภาพวิญญาณ: คนไทยเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดและวิญญาณมานานแล้ว
  • พรหมลิขิต: พุทธศาสนาปฏิเสธพรหมลิขิต เน้นว่าชีวิตขึ้นอยู่กับการกระทำของตน
  • กฎแห่งกรรม: คนไทยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมาจากทั้งพราหมณ์และพุทธ โดยพุทธศาสนาเชื่อว่าตราบใดที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด
  • การหลุดพ้น: ทั้งพราหมณ์และพุทธต่างเชื่อว่าความสงบสุขที่แท้จริงเกิดจากภาวะที่จิตสงบระงับจากความอยาก
  • ไสยศาสตร์: ความเชื่อนี้มาจากศาสนาพราหมณ์ (คัมภีร์อาถรรพเวท) และมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนไทย เช่น เครื่องรางของขลัง พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันพิธีกรรมพราหมณ์และพุทธผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก

4.2 อิทธิพลของปรัชญาตะวันตกต่อสังคมไทย:

  • ความเป็นอยู่: สังคมไทยเปลี่ยนจากชนบทสู่เมือง เน้นความสุขสบาย แต่ความสัมพันธ์แบบครอบครัวลดลง การแต่งกายฟุ่มเฟือยขึ้น และเทคโนโลยีตะวันตกทำให้ชีวิตสะดวกสบายแต่ก็ฟุ่มเฟือยมากขึ้น
  • ค่านิยมของสังคม: คุณค่าทางจิตใจและคุณธรรมลดลง แต่คุณค่าทางวัตถุเพิ่มขึ้น เงินตราจึงมีค่ามากกว่าคุณธรรม
  • หลักความเชื่อ: ความเชื่อทางไสยศาสตร์ลดลง คนส่วนใหญ่หันมาเชื่อวิทยาศาสตร์มากขึ้น
  • การศึกษา: มีทั้งการศึกษาเพื่อความรู้และการศึกษาเพื่อชีวิต โดยการศึกษาเพื่อชีวิตมุ่งให้ผู้เรียนนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง
  • การเมือง: แนวคิดทางการเมืองพัฒนาจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

5. การวิเคราะห์และวิจารณ์: จุดกำเนิดและสาระของปรัชญา

บทความนี้วิเคราะห์ความแตกต่างของปรัชญาตะวันออกและตะวันตกในประเด็นสำคัญ:

5.1 ก่อนการเกิดปรัชญา:

  • ปรัชญาตะวันตก: มักเกิดจากความสงสัยหรือจินตนาการของนักปรัชญาเอง แล้วพยายามพิสูจน์ด้วยเหตุผลทางตรรกะ
  • ปรัชญาตะวันออก: มักเกิดจากการปฏิบัติเพื่อแสวงหาความจริงเกี่ยวกับโลกของศาสดา จึงอาจเป็นปรัชญาบุคคล สังคม หรือปฏิบัติการก็ได้

5.2 เนื้อหาของปรัชญา:

  • โดยรวมไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะต่างมุ่งอธิบายความสงสัยและปรากฏการณ์ในโลก
  • ปรัชญาตะวันตก: ใช้เหตุผลทางตรรกะแก้ข้อสงสัย เน้นการเข้าใจตนเองและสิทธิของตน
  • ปรัชญาตะวันออก: อาศัยความเชื่อหรือศรัทธาในศาสนาเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา เน้นการรักษาสภาวะจิตให้บริสุทธิ์และหลุดพ้น

5.3 คุณค่าของปรัชญา: ปรัชญาทั้งสองฝ่ายมีคุณค่าอย่างมากในการช่วยมนุษย์แสวงหาทางแก้ไขปัญหา ปรัชญาตะวันออกมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ โดยมักผูกติดอยู่กับคำสอนในศาสนาที่นำมาปฏิบัติเพื่อยกระดับสุขภาวะ

ปรัชญาสากลแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของแนวคิดที่ยืนยันความจริงสุดท้ายด้วยมิติที่แตกต่างกัน ทั้งด้วยสสาร อสสาร หรือความรู้ส่วนบุคคล ปรัชญาตะวันออกมักเป็นปรัชญาประยุกต์หรือปรัชญาศาสนา ในขณะที่ปรัชญาตะวันตกมักเป็นแนวคิดที่นำเสนอโดยนักคิดในแต่ละยุคสมัย ท้ายที่สุด ปรัชญาทั้งหมดได้กลายเป็นวิถีชีวิตของแต่ละบุคคลและสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

หมายเหตุ. เป็นบทความวิชาการที่นำเสนอใน วารสาร “ศึกษาศาสตร์ มมร” คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2561